Archive for the ‘ชีวิตช่วงบวช (Monk Hood)’ Category
26-27/12/06 ลาสิกขาบท
26/12/06
ตอนนี้ผมก็เป็น “ทิด” แล้วครับ อยู่ในสภาพที่เพิ่งลาสิกขาบทมา หลังจากนั้นผมก็กลับไปที่กุฏิ นำน้ำมนต์ที่ได้ ไปอาบน้ำ และก็ออกไปเดินตามบิณฑบาตรเป็นเด็กวัดกับพระ โดยไปเดินตามพระร่วมกับ เอก ลิฟต์ และพี่มาศ อารมณ์มันก็แปลกๆ นะครับจากเดิมที่เราเดินและมีคนใส่บาตร แต่ตอนนี้ มาเดินเอาของออกจาบาตร อาหารที่ได้ในแต่ละวันเยอะมากๆ ครับ สนุกดีในการเดินตามพระ หลังจากนั้นก็กลับมาที่วัด เอาอาหารมาไว้ที่วัด ให้พระแยก หลวงพี่พร ให้ก๋วยเตี๋ยวผม 1 ห่อเป็นอาหารเช้าวันนั้น หลังจากนั้นเวลา 11 โมงที่บ้านผมก็มารับกลับไปที่บ้าน แต่ก่อนกลับผมก็ได้แวะไป ไหว้พระตามที่ต่างๆ ที่ในบวชของผมวันแรกผมได้ ไปไหว้ลาเอาไว้ได้แก่
และก็กลับมาที่บ้าน มาถึงที่บ้านอาม่า ก็มารอรับ และมอบแหวนให้วงหนึ่ง อาม่าบอกว่าแหวนวงนี้เป็นแหวนของอากง (อากงผมเสียไปหลายสิบปีแล้ว) เป็นแหวนจากน้ำมันเครื่องไดเกียว ที่สมัยก่อนบ้านผมเป็นตัวแทนขายอยู่ และเค้าก็ให้เป็นของขวัญมา อากงใส่ไว้ตลอด เป็นสมบัติชิ้นเดียวของอากง อาม่าขอมอบให้ผม จริงๆ แหวนวงนี้เป็นแหวนธรรมดามีโลโก้ไดเกียว อยู่ตรงหัวแหวน แต่พอผมได้รับมา ผมรู้สึกว่าแหวนวงนี้มันมีค่ามากๆ สำหรับผม มูลค่าทางเงินตรามันอาจจะไม่เยอะมาก แต่มันมีมูลค่าทางใจมากๆ สำหรับผม น่าภูมิใจมากๆ สำหรับของขวัญชี้นที่ อาม่ามอบให้ผม และก็มอบเงินให้ไว้ส่วนหนึ่งในการรับขวัญ หลังจากการบวช
27/12/06
ภาพ ปูมน้องชายผม กับกิจกรรมเดินตามพระบิณฑบาตร
เราตามเดินบิณฑบาตรเสร็จเกือบ 7 โมง หลวงพี่พร ให้ข้าวและกับข้าวจากที่บิณฑบาตรกับผมและน้อง และผมเองก็บอกหลวงพ่อเจ้าอาวาสว่า วันนี้ผมจะทำความสะอาดห้องน้ำของวัดให้ เพราะมันสกปรกมากกกก พอดีน้องชายอยู่พอดีก็เลย ช่วยกันล้างห้องน้ำของพระให้ ล้างกันอยู่นาน น้ำยาล้างห้องน้ำก็หมด ก็ต้องพยายามล้างๆ ขัดๆ ถูๆ กันเต็มที่ กว่จะเสร็จก็เล่นเอาเหนื่อยเลย หลังจากนั้นเราก็เดินกลับบ้าน ไปทานข้าว น้องชายผมก็ชวนไปเล่นบาสที่ สวนหลวง ร.9 ที่เป็นสวนสาธารณะ หลังจากนั้นผมก็แวะไปตลาด ซื้อน้ำยาล้างห้องน้ำเอาไปถวายที่วัด (เมื่อเช้าใช้จนหมด) และก็ แวะไปถ่ายรูปห้องที่จะจัดเป็นห้องเก็บของ และได้คุยกับอาม่าและคนงานที่บ้านว่า จะให้ช่วยต่อ ชั้นเก็บของขึ้นมา โดยใช้เหล็กตัวแอล กับไม้อัดประกอบขึ้นมาใหม่
ช่วงสายๆ ผมกับอาม่าก็ออกไปซื้อตู้เย็นกัน เพราะพระที่วัดท่าเรือ มักจะได้พวกอาหารที่เป็นเครื่องดื่นเช่น ยาคูลย์, นม, หรือเครื่องดื่นประเภทต่างๆ ที่พระสามารถฉันได้หลังเที่ยงไปแล้ว แต่ไม่มีตู้เย็นแช่เก็บ ของหลายๆ อย่างเลยต้องทิ้งบ้าง เสียบ้าง ให้หมาแมวแถวนั้นกินบ้าง ผมเคยอยากซื้อตุ้เย็นถวายให้พระได้ใช้กัน และก็แวะไปซื้อเหล็กและไม้อัด สำหรับเอามาประกอบเป็นชั้นสำหรับเก็บของในห้องเก็บของของวัดท่าเรือ และก็ให้คนงานมาประกอบขึ้น อาม่าบอกว่าให้กลับมาอาทิตย์หน้าเพื่อให้ผมมาถวายชั้นที่ทำเสร็จแล้ว
ช่วงบ่าย เอ็มมารับผมที่บ้าน เพื่อกลับไปที่กรุงเทพ โดยปูมน้องชายผมตามไปด้วย เราไปแวะซื้อปลากันที่ตลาดนัดปลาที่บ้านโป่ง ผมได้ปลานีออนมา 5 ตัวและต้นไม้น้ำมาใส่ตู้ปลาที่บ้านถึงกรุงเทพประมาณ 1 ทุ่ม ผมออกจากกรุงเทพไปประมาณ 1 เดือน 1เดือนที่ผมไปอยู่จังหวัดกาญจนบุรี เป็นช่วงที่ผมอยู่ที่นี้นานที่สุดในรอบหลายสิบปีเลย เพราะปกติผมกลับบ้านไปแล้วมักจะอยู่ไม่กี่วัน แต่การบวชคราวนี้ทำให้ผม เหมือนกับไปใช้ชีวิตเป็นคนท้องถิ่น อีกครั้ง ซึ่งผมเองก็ห่ายเหินมานาน ดีมากๆ ครับ และก็ตั้งใจว่า อีก 1-2 อาทิตย์จะกลับไปที่วัดท่าเรือ และวัดป่าอีกเพื่อไปเยี่ยมและถวายของที่ตั้งใจจะซื้อเอาไป เพื่อเป็นประโยชน์ใหักับที่วัดทั้งสองนี้
25/11/06 วันสุดท้ายที่ วัดสุนันทวนาราม
เนื่องจากเมื่อคืนนี้นอนดึกมาก ความตั้งใจที่จะไปเดินบิณฑบาตร สายป้าสุนันท เลยต้องพับไป เพราะบิณฑบาตรสายนี้ขึ้นชื่อว่า เป็นเส้นทางที่สวยงามมาก เดินเข้าไปที่บ้านของป้าสุนันท เจ้าของที่ดินที่บริจาคให้สร้างวัดนี้ (วัดนี้เลยชื่อว่า วัดสุนันทวนาราม ) แต่ทางเดินโหดมาก เพราะเป็นทางลูกรังตลอดทาง เจ็บเท้ามากๆ และต้องออกแต่เช้าตอนตี 5.30 เลยต้องกลับไปเดินบิณบาตรทางสาย ลิ่นถิ่น เหมือนเดิม
ขากลับจากเดินบิณฑบาตร เรานั่งรถกลับมาที่วัดกันปกติ แต่วันนี้มีเด็กนักเรียนและผู้ปกครองตั้งแถว รอใส่บาตรกันก่อนถึงศาลาต้อนรับ เต็มไปหมด เด็กน่ารักมากๆ เพราะมารอใส่บาตรกัน บางคนก็ตัวจิ๋วมากๆ ยังเด็กๆ อยู่เลย น่าจะประมาณ 3-4 ขวบ มากับผู้ปกครอง ยืนพนมมือใส่ อาหารซึ่งส่วนใหญ่ก็ใส่ขนมกันเช่น ป๊อกกี้, เวเฟอร์, ขนมกรุบกรอบ เห็นแล้วน่ารักจริงๆ เป็นกิจกรรม ที่จะช่วยทำให้เด็ก รู้จักการทำบุญตั้งแต่เด็กๆ
วันนี้เป็นวันที่ทางบ้านอาตมาจะมาเลี้ยงพระช่วงเช้า และก็จะมารับอาตมากลับไปที่วัดท่าเรือเพื่อไปสึก ที่บ้านเอาอาหารมา และไอติม 1 ตู้มาเลี้ยงพระด้วย หลังจากฉันอาหารเช้าแล้ว อาตมาก็ต้องรีบเก็บข้าวของ เพื่อเตรียมตัวกลับ โดยต้องซักจีวร และเครื่องนุ่งห่มคืนทางวัด เพราะอาตมายืมมาจากทางวัด และต้องห่มจีวรสีเหลืองเข้มกลับ จากเดิมที่ห่มจีวรสีกระ ก็ได้มีโอกาสไปกราบลา พระอาจารย์ใหญ่ และอาจารย์หนูพรม ลาพระเพื่อนๆ และก็จะกลับมาหาอีกครั้ง เพื่อจะไปซื้อของมาถวายที่วัด
สรุปอาตมาอยู่ที่วัดสุนันทวนาราม รวม 20 วัน นับว่าเป็นการบวชวัดป่าครั้งแรกในชีวิต มีหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่างที่ได้อย่างมากมายจากวัดป่า ครั้งนี้ และถือเป็นประสบการณ์ช่วงหนึ่งของชีวิตที่จะต้องจดจำไปไม่รู้ลืม เพราะมีหลายสิ่งหลายอย่างได้สอนอาตมา และสร้างมุมมองใหม่ กับการบวชที่วัดแห่งนี้
24/11/06 เคลียร์งานทั้งหมดก่อนกลับ
พรุ่งนี้อาตมาต้องกลับไปวัดท่าเรือแล้วครับและก็มีกำหนดสึกในวันที่ 26 พฤษจิกายน 2549 ที่วัดท่าเรือ (เค้าบอกกันว่า หากคุณบวชที่วัดไหน ก็ควรกลับไปสึกกับพระที่บวชให้เรา วัดที่เราบวช) วันนี้เณรตามมายืมกล้องไปถ่ายท่านต้อ เพราะท่านต้อจะสึกแล้วอีกไม่กี่วันเลยอยากถ่ายภาพ ที่ระลึกเก็บเอาไว้ในวัด
อาตมาอยู่เคลียร์พื้นที่อยู่นาน ตอนนั้นก็ได้มีโอกาสคุยกับท่านต้อม (ตอนนี้มีท่านต้อมมี 2 คน ท่านนี้เพิ่งบวชไม่กี่วัน) ท่านต้อม ท่านนี้ทำงานอยู่ในเครือ Major Cineplex เป็นคนดูแลระบบเสียงของโรงหนังทั้งหมด ซึ่งตอนนี้ท่านบอกว่า ท่านกำลังดูระบบของไซต์ “เอสพานาด” ตรงถนนรัชดา ซึ่งจะเป็น entertainment complex ที่ใหญ่อีกแห่งหนึ่งบนถนนสายนั้น น่าสนใจมากๆ
กิจกรรมนี้อาตมากลับมาเคลียร์งานทั้งหมดให้ท่านกตที่ห้องคอม นั่งทำงานไปซักพักเณรตามกับท่านต้อก็ตามมา อาตมาเริ่มสอนงานต่างๆ เกี่ยวกับเว็บไซต์ของวัดที่ทำไว้ให้ เกี่ยวกับการบริหารจัดการข้อมูลภายในเว็บไซต์ http://www.watpahsunan.org โดยมีท่านกต, ท่านต้อม และเณรตาม เป็นผู้รับช่วยต่อ ก็พยายามสอนในการบริหารจัดการเว็บไซต์ทุกอย่าง
หลังจากนั้นอาตมาก็นั่งทำงานจนค่ำ เลยไม่ได้ไปทำวัตรเย็น วันนี้มีเด็กๆ อนุบาลมาร่วมทำวัตรเย็นเป็นร้อยคนเลย และก็ให้เณรตามทำงาน เว็บขายผ้าซาโอริ และท่านต้อมเตรียมงานกราฟฟิกบอร์ดของวัด นั่งทำกันจนเกือบ ตี 2 อาตมาเอนหลับอยู่ด้านหลังทั้งสองคน ก่อนจะแยกย้ายกลับกุฏิไปนอนกัน คืนนั้นมืดมากๆ มืดเสียจนมองไม่เห็นอะไรเลยด้านหน้าตอนเดินกลับกุฏิ ไฟฉายยังส่องเห็นแค่ทางเล็กๆ เอง บรื้ออ อากาศหนาวด้วย คืนนี้จะเป็นคืนสุดท้ายที่ได้นอนที่ วัดสุนันทวนาราม แล้ว แต่ยังไม่ได้เก็บของอะไรเล้ยยยย
23/11/06 โชคดีครับ ขอบคุณครับ
ในระหว่างที่ออกไปกวาดถนน ก็จะมีท่านอากิ (พระญี่ปุ่น) ก็ได้สอนธรรมะอะไรหลายๆ อย่าง และยกตัวอย่างให้ฟังหลายๆ เรื่อง มีข้อคิดที่สามารถประยุกต์กับการทำธุรกิจได้หลายๆ อย่าง ท่านอากิบอกว่า หากเราโชคร้ายหรือเจอสิ่งที่ไม่ดี ให้บอกกับตัวเองว่า “โชคดี” หากเราเจอสิ่งๆดีๆ ให้บอกับตัวเอง และผู้ที่ให้ว่า “ขอบคุณครับ” แค่นี้ชีวิตเราก็จะมีแต่เรื่องดีๆ เข้ามาหา ท่านให้ท่องว่า “โชคดีครับ ขอบคุณครับ” ท่องเอาไว้ประจำ ท่านอากิตั้งใจสอนมาก ท่านอากิ เป็นพระญี่ปุ่น ที่มาบวชที่เมืองไทย 15 ปีแล้ว ขยันมาก
ตื่นมาอีกทีก็ช่วงบ่าย ก็ออกไปทำกิจวัตรโดยไปกวาดถนนที่หน้าหอฉัน เสร็จแล้วเจอเณรตาม ก็เลยคุยกันเรื่องงานปฏิทินของทางวัด ซี่งสรุปว่าโทรไปหาที่มูลนิธิที่กรุงเทพดีกว่า ว่าจะทำยังไงต่อดี สรุปว่าหลังจากโทรไปคุยกับที่มูลนิธิเค้าบอกว่าไม่ต้องทำแล้ว เพราะมันใกล้ปีใหม่มามากแล้ว ทำคงทำไม่ทัน ก็เลยหยุดการทำ และก็ไปฉันน้ำปานะ หลังจากนั้นก็แวะไปออกกำลังกายซักพัก ก่อนกลับมามาอาบน้ำ
ในระหว่างดูๆ อยู่ก็มีโทรศัพท์จากทางบ้านโทรเข้ามาที่วัด บอกว่าอาจจะเลื่อนวันสีกเข้ามาเร็วขี้นเป็นวันอาทิตย์ที่ 26 นี้เพราะไม่มีฤกษ์สีกเลย ถ้าจะมีอีกทีก็ไปวันที่ 1 เลยซี่งเกินกำหนดและติดงาน ดังนั้นจะต้องมารับกลับไปที่วัดท่าเรือในวันเสาร์ที่ 25 นี้ก่อนจะสีกวันที่ 26 ซี่งทำให้อาตมาเหลือเวลาอยู่ที่วัดนี้อีกเพียง 2 วันเท่านั้น หลังจากคุยจบก็กลับมาดู CD ต่อ นั่งๆ ดูอยู่ โยมโดโด้ก็เข้ามาดู และก็มานั่งร่วมคุยด้วย และบอกว่าอาจจะรบกวนอาตมาหลังสีกไปแล้วให้ช่วยทำใบประกาศณียบัตรของทางวัดให้ด้วย อาตมาก็บอกว่า ให้แวะมาที่ office ละกัน เดียวจะทำให้หลังจากสีกไปแล้ว พวกเรานั่งดู CD 2 เรื่องนี้จน 4 ทุ่มกว่า อากาศเริ่มหนาว
22/11/06 ทำงานและข้อมูลจาหนังสือที่น่าสนใจ
วีดีโอ : สกู๊ปเรื่องเกี่ยวกับวัดสุนันทวนาราม
“โอกาส” – คือสิ่งที่เดินเข้ามาหาเราไม่บ่อยนัก บ่อยครั้งที่เราปล่อยโอกาสให้มันปล่อยเดินผ่านไป“คำพูด” – คือสิ่งที่ควรไตร่ตรองให้ดีก่อนที่จะพูดออกมา เพราะเราจะต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่เราพูด เคยมีคนพูดว่า “คำพูดเป็นนายของเรา”“เวลา” – เป็นสิ่งที่สำคัญในชีวิต เคยมีคนบอกว่าอยากรู้ว่าเวลา 1 ปีมีค่าขนาดไหน ให้ถามเด็กนักเรียนที่ตกซ้ำชั้น 1 นาทีมีค่าแค่ไหน ให้ถามคนที่พลาดรถไฟหรือเครื่องบิน และ 1 วินาทีมีค่าแค่ไหนให้ถามนักกีฬาวิ่งแข่งที่ได้แค่เหรียญเงินพลาดเหรียญทอง
- เรียนรู้ว่าเราใช้เวลาในช่วงทำงานในระหว่างวัน ให้เหมาะสมกับตัวเราที่สุด เช่น ช่วงเช้าเป็นช่วงที่มีสมาธิมากที่สุด ก็ควรทำงานที่ต้องใช้สมาธิมาก เช่นอ่านหนังสือ หรือเขียนรายงาน ตอนบ่ายที่สมาธิลดลง อาจจะ ใช้เวลาทำงานที่ไม่ต้องใช้สมาธิมากนักเช่น โทรติดต่องาน
- คิดหาวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดก่อนลงมือทำ เพราะจะทำให้งานของคุณสามารถทำออกมาได้มีประสิทธิภาพ
- ทำหลายอย่างพร้อมกันถ้าเป็นไปได้ เช่น ทำงานบางอย่างที่ไม่ต้องใช้สมาธิมากในงานที่อาศัยความเคยชินคุ้นเคยโดยไม่ต้องใช้ความคิดมากนัก เพื่อช่วยลดเวลาการทำงาน
- ใช้เวลาสั้นให้เป็นประโยชน์ เช่น ระหว่างที่รอคน ก็สามารถโทรศัพท์นัดหมาย, หรืออ่านหนังสือหาความรู้เพิ่มเติม
- ทำงานเหมือนกันในช่วงเวลาเดียวกัน เพราะจะช่วยไม่เสียสมาธิ
- ป้องกันตัวเองจากการถูกรบกวนหรือถูกขัดจังหวะ การถูกขัดจังหวะ เป็นอุปสรรคประการหนี่งที่จะทำให้เกิดปัญหาอย่างมากในการบริหารเวลา เช่น การรับโทรศัพท์
- รู้จักปฏิเสธสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์และทำให้เสียเวลาโดยไม่จำเป็น เราควรเลือกสิ่งที่เป็นประโยชน์สูงสุดก่อน
- ใช้คู่มือและทำรายงานสิ่งที่ต้องทำหรือจัดเตรียมงานที่ต้องทำอย่างเป็นเป็นสม่ำเสมอหรือทำเป็นประจำหรืองานที่ทำไปแล้ว
- บันทีกดีกว่าใช้ความจำ เราควรมีสมุดโน็ตหรือออแกนไนเซอร์ ไว้จดงานหรือความคิดใหม่ ๆ ที่อ่าจจะเกิดขี้นได้ตลอดเวลา
- ระดมความคิด (Brainstroming) ในการหาคำตอบ จะช่วยทำให้เราหาคำตอบได้ในเวลาอันสั้นได้
- รู้จักกระจายงาน มอบหมายความรับผิดชอบให้ทีมงาน จะช่วยทำให้เรามีโอกาสทำงานอื่นได้มากขี้น
21/11/06 ดูดาวที่ หอดูดาว เกิดแก้ว
วันนี้ตื่นมาด้วยความปวดตามร่างกาย เพราะเมื่อคืนเป็นคืน เนสัชชิกค์ อาตมาอยู่ในกุฏิคอมพิวเตอร์ทั้งคืนเลย พอตอนเที่ยงคืนก็เริ่มง่วง ก็ใช้วิธีนั่งพิงพนัง แล้วหลับตาหลับ พอไปถึงดีกๆ ชักไม่ไหว ต้องล้มดัวลงนอนเอาหน้าคงไปกองกับพื้น แต่หลังยังชูอยู่นะครับ ไม่ได้เอาหลังไปนอนกับพื้น ทรมานและก็ลำบากมากๆ แต่ก็สนุกดี
หลังจากกลับมาจากบิณฑก็ฉันอาหารเช้า และก็ มาทำงานเว็บไซต์ให้กับวัดต่อ จนตอนบ่าย 3 ก็ทำความสะอาด เวรคราวนี้อาตมาได้ไปทำความสะอาดที่ศาลาธรรม โดยกวาดถนนหน้าลาน ก็มีท่านต้อมาร่วมกวาดด้วย หลังจากนั้นไปฉันน้ำปานะต่อ โดยที่โรงฉันน้ำปานะ ท่านอาจารย์หนูพรมแจ้งว่า ผู้ที่ลงชื่อว่าจะไปดูดาวคืนนี้ ที่บ่อพลอย ให้ไปเจอกันที่หอฉันตอน 6 โมง
หลังจากนั้นอาตมาก็กลับไปสงฆ์น้ำ และไปรอที่หอฉัน โดยไปดูดาวคราวนี้ เป็นการเชิญจาก ท่าน อบต. บ่อพลอย ท่านเป็นลูกศิษย์ของท่านหลวงพ่อ ก็เลยนิมนต์ไปดูดาวที่นั้น อาตมาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องไปดูดาวที่นั้น ทั้งๆ ที่มองดูดาวที่วัดนี้ก็ดูเห็นง่าย เห็นชัดดาวเยอะมาก เพราะที่นี้มืดจริงๆ ตอนกลางคืน แต่ไหนๆ ก็เชิญแล้วก็ไปกันเยอะทีเดียว ทริปนี้มีพระไปประมาณ 17 รูป อุบาสก-อุบาสิกา อีกประมาณ 6 คน มีท่านโดโด้ไปด้วย โดยมีรถไป 5 คันจากวัด อาตมาก็ขี้นไปรถของโยมวิท คนงานของวัดขับรถกระบะปุเรงๆ ไป มีท่านกด, ท่านต้อม, ท่านอาจารย์เสก และท่านลี่ ไปด้วย
จากอำเภอไทรโยค จะไปบ่อพลอย เราต้องขับไปออกทาง 4 แยกบ้านเก่า เพื่อทะลุออกไปทาง อำเภอศรีสวัสดิ์ ซี่งอยู่อีกทางฝั่งหนี่งของกาญจนบุรี ซี่งท่านโดโด้ขับรถช้า รถของเราเลยต้องไปรออยู่ที่ 4 แยก แต่พอรอไปซักพัก รถกระบะอีกคันหนี่งของวัด ก็มาจอดเทียบด้วย และก็มีโยมอุบาสิกาและชีจากที่วัด (อายุเยอะแล้ว) ออกมาจากรถคันนั้นและก็บอกว่า ขับไม่ไหวแล้ว เพราะมีแต่ผู้หญิงขับมากันจากวัด รถกระบะก็เก่ามาก พวงมาลัยก็หนัก และก็มืดแล้ว เค้ากลัวมองทางไม่เห็นและ ก็ตื่นเต้นกันทุกๆ คน ช่วยหาคนมาขับแทนหน่อย เอาละสิ รถคันนี้ก็มีแต่พระกับโยมวิน คนขับอีกคน แต่ดูถ้าพวกโยมสีกาคงขับไม่ไหวจริงๆ เพราะอายุเยอะกันแล้ว รถก็เก่า และก็พวงมาลัยหนักจริงๆ อาตมาเลย อาษาช่วยขับให้ โดยให้พวกโยมสีกานั่งไปกับโยมวิน ส่วนพระทั้งหมดนั่งรถกระบะมาด้วยกันคันเดียว โดยมีอาตมาเป็นคนขับไปตลอดเส้นทาง
พอขับออกไป พบว่ารถกระบะคันนี้ (คันที่อาตมานั่งไปบิณฑบาตรทุกๆเช้า) พวงมาลัยหนักมาก และรถก็เก่าจริงๆ เป็นรถกระบะที่ทาง การไฟฟ้าฝ่ายผลิตบริจาคให้กับทางวัด มันเก่ามากๆๆๆ แต่ก็วิ่งได้ และก็ดีกว่าเดินกันไปเอง เข้าโค้งทีก็กลัวล้อจะหลุด เพราะมันมีเสียงดัง วิ้วๆๆ ออกมาจากล้อทุกครั้งที่เลี้ยงโค้ง น่ากลัวมากกกก!
เราขับไปถีงบ่อพลอยกันตอน 3 ทุ่มกว่า โดยไปแวะที่บ้านของท่าน นายก อบต. บ่อพลอย บ้านของท่านใหญ่โต สวยงามมาก ท่านเชิญพระทุกท่านเข้าไปที่บ้าน อาตมาขับเข้าไปจอด หลายคนเห็นก็ตกใจพระขับรถมาเอง อาตมาเลยไปถามท่าน อาจารย์หนูพรม ว่าพระขับรถนี้ อาบัติไหม ท่านก็บอกว่าจริง ๆ มันไม่มีกำหนดเอาไว้ แต่ก็ไม่เหมาะ แต่กรณีจำเป็นจริงๆ เพราะไม่มีฆราวาสเลยซักคนที่ขับรถได้ พระก็ต้องช่วย พวกเราอยู่ที่บ้านของท่านนายก อบต.ซักพัก พอคันอื่นๆ มากันครบ พวกเราก็เราก็เริ่มออกเดินทางกัน
พวกเราขับไปอีก 3-4 กิโล โดยเข้าไปในไร่อ้อย และก็พบว่า พวกเรากำลังขับไปที่ หอดูดาวเกิดแก้ว เป็นหอดูดาวจริงๆ
ภาพ ป้ายแนะนำ หอดูดาว เกิดแก้ว
อาตมาได้มีโอกาสเห็น แกแล็กซี่อีกแห่งหนี่งที่ชื่อว่า อันโดรเมด้า ผ่านกล้องของหอดูดาวที่นี่ พอดูดาวนี้ สร้างมา 10 กว่าปีแล้ว ราคาของกล้องเมื่อ 10 ปีก่อนราคาประมาณ ล้านกว่าบาท และรวมค่าก่อสร้างหอดูดาวนี้ ใช้งบประมาณ 2 ล้านกว่าบาท (ราคา 10 ปีก่อนนะ) และเมื่อล่าสุดก็ได้ทำการเปลี่ยนขาตั้งกล้องดูดาวเป็นตัวใหม่ เพื่อที่จะสามารถ เชื่อมต่อกลัองดูดาวอันเดิมเข้ากับ คอมพิวเตอร์ได้ โดยใช้คอมพิวเตอร์เป็นตัวควบคุม การหมุ่นของกล้องทั้งหมด โดยขาตั้งกล้องตัวนี้อย่างเดียวเพิ่งซื้อมาไม่นาน ราคา 7 แสนกว่าเลยทีเดียว
แต่สิ่งหนี่งทีน่าสนใจมากคือ โปรแกรมในคอม ที่ใช้สำหรับดูดาว ชื่อ Starry Night Pro เป็นโปรแกรมคล้ายๆ กับ Google Earth แต่ใช้ส่องดูดาวและสุริยะจักรวาลได้ ส่งและซูมได้เจ๋งมาก ดูไปดูมา ทุกคนก็มานั่งดูดาว ต่างๆ ผ่านโปรแกรมนี้กันซะกันหมด เพราะเห็นได้เยอะ มากแล้วยังสามารถ สร้างภาพของกลุ่มดาวต่างๆ ออกมาเป็นภาพจริงๆ ได้เช่น กลุ่มดาวนายพราน ก็จะมีการสร้างภาพนายพรานจากกลุ่มดาวให้เห็น หรือกลุ่มดาวตามราศีต่างๆ โปรแกรมนี้น่าสนใจริงๆ เอาไว้คงต้องโหลดมาเล่นบ้างแล้วละ
หลังจากนั้นเราก็ลงมาข้างล่าง ใช้กล้องดูดาวแบบตัวเล็กมีขาตั้ง มาส่องดูดาวข้างนอก ส่องดูกลุ่มดาวลูกไก่ ที่เคยมีคนบอกกันว่ามี 7 ดวง แต่จริงๆ แล้วกลุ่มดาวลูกไก่นี้ มีมากว่านั้นมากครับ หากส่องดูด้วยกล้องดูดาว และก็ส่งดูดาวฤกษ์อื่นๆ อีกด้วย แต่คืนวันนี้ ฟ้ามีเมฆเป็นครั้งคราว ทำให้การดูบางครั้งก็ไม่เห็นต้องรอให้เมฆผ่านไปก่อน
พวกเราส่องดูดาว และฟังข้อมูลจากวิทยากรจนประมาณ 4 เกือบ 5 ทุ่ม ท่านหลวงพ่อก็ขอตัวลาไปก่อน จะเข้ากรุงเทพ โดยท่านโดโด้ขับรถไปส่งท่าน พวกเราก็เริ่มทยอยกลับกัน อาตมาก็ขับกลับ เพราะไม่มีฆราวาสขับกลับจริงๆ อาตมาซี่งด้วยความเร็ว 110-120 Km/ชั่วโมง จากบ่อพลอย ไป ไทรโยค โดยระยะทางขากลับประมาณ 160 กิโล นับว่าไกลมาก จริงๆ นี้ขนาดอยู่ในจังหวัดเดียวกันนะ ขับรวมไปกลับก็ประมาณ 300 กว่าโลเลยที่ขับกันไปกลับคืนนี้
พวกเรากลับมาถีงวัดเที่ยงคืนกว่า กลับมาที่วัด ท้องฟ้าที่วัดดาวเยอะกว่าที่บ่อพลอยเยอะ แต่คืนนี้ก็นับว่าเป็นค่ำคืนที่ดี ที่ได้ประสพการณ์เกี่ยวกับเรื่องดาราศาสตร์จากผู้รู้ ทำให้รู้ว่า เมืองกาญจน์บ้านอาตมาก็มี หอดูดาว เหมือนกันนะ แต่หอดูดาวที่นี้ได้เปิดให้คนนอกเข้า จะให้เฉพาะสำหรับคนที่ติดต่อไป และเปิดในช่วงโอกาส ที่มีดวงดาวต่างๆ เข้ามาในโลกนี้ หลังจากลงจากรถ พวกเราก็แยกย้ายกันกลับกุฏิ อาตมาก็ สวดมนต์ นั่งสมาธิแล้วก็นอน คืนนี้หนาวบ้างนิดหน่อย
20/11/06 คืน เนสัชชิกห์ อดนอนทั้งคืนอีกแล้ว
หลังจากฉันอาหารเช้าเสร็จ อาตมาก็เริ่มทำงานต่อ ช่วงนี้ อาตมาเริ่มงานเว็บไซต์ของทางวัดแล้ว โดยวันนี้จะให้เณรตามทำ ปฏิทินของทางวัด โดยอาตมาวางแนวไว้ให้ก่อน แล้วค่อยให้เณรมาทำต่ออีกที ส่วนอาตมาก็ลุยงานเว็บของทางวัด เว็บไซต์ของวัดเดิมใช้ MAMBO เป็นเครื่องมือในการสร้างเว็บไซต์ ซี่งอาตมาทำเป็นอยู่เลย เลยใช้ Mambo ต่อเลย แต่ต้องมาวางแผนงาน และโครงสร้างเว็บไซต์ใหม่ทั้งหมด
เว็บของทางวัดชื่อว่า http://www.WatPahSunan.org และวันนี้ทาง Truehits.net ตอบมาแล้ว ว่ายินให้ใช้บริการนับสถิติคนเข้าเว็บไซต์กับทางวัดได้ฟรี อาตมาก็เริ่มงาน วันนี้พยายามติดตั้งเว็บบอร์ดให้กับทางวัด โดยตั้งใจจะลองใช้ Simple Machine Forum มาเป็น Engine ในการทำ Webboard แต่ลงไปแล้วมีปัญหากับภาษาไทย ยัง Encode เป็น Font UTF8 ยังไม่ได้ และก็ทำบริการดูภาพบรรยกาศวัดแบบ 360 องศาต่อ โดยวันนี้ช่วงไปฉันน้ำปานะ และเดินไปถ่ายภาพ ที่ศาลาธรรมเพิ่มเพื่อเอามาทำ และก็เลยไปถ่ายภาพที่ ห้องคลัง เก็บของของวัด ที่ ท่านยั่ง พระชาวญีปุ่นเป็นคนดูแลอยู่
อาตมาเอากลดไปคืน และก็ขอถ่ายภาพภายในห้อง ทั้งห้องคลังเก็บของเครื่องใช้ของวัดเช่น จีวร, บาตร, ไฟฉาย. สบู่, ยาสีฟัน เป็นต้น และมีอีก 2 ห้องที่เป็นคลังคือ ห้องเก็บอุปกรณ์ทำความสะอาด และ ห้องเก็บเทียน สำหรับพระที่ต้องการเทียนเอาไปใช้ที่กุฏิ ซี่งอาตมาก็ถ่ายเอามาไว้เป็นแบบ เพราะตั้งใจว่าจะเอาไปสร้างห้องคลังให้กับ วัดท่าเรือ ในอาทิตย์หน้าที่อาตมากลับไปที่วัดท่าเรือ เพราะที่วัดท่าเรือ ยังไม่มีการทำห้องคลังอยู่เต็มรูปแบบ ทำให้การเก็บของต่างๆ ไม่เป็นระเบียบเท่าไร หลังจากนั้น ขากลับก็แวะไปดู ท่านหมูกำลังสร้างกุฏิใหม่อยู่ พระทีนี่ช่วยกันออกแบบ และก็ช่วยกันสร้างเองด้วย
วันนี้อาตมาทำ บริการดูภาพบรรยกาศวัดสุนันทวนารามแบบ 360 องศาเสร็จแล้ว หากท่านสนใจ ลองเข้าไปดูได้ที่ http://www.watpahsunan.org/360view จะสามารถดูมุมมองบรรยกาศต่างๆ ภายในวัด 5-6 มุมสวยๆ เลย แล้วคุณจะได้เห็นและสัมผัส บรรยากาศของวัดกลางป่า กลางเขา ว่ามีความสวยงาม เงียบสงบแค่ไหน
19/11/06 วันโกนและทำงานทั้งวัน
ช่วง 4 โมงอาตมาก็ไปฉันน้ำปานะ วันนี้อาตมาฉันลูกอมซูกัส ไปเกือบ 20 กว่าเม็ด (ซูกัสก็ถือว่าเป็นน้ำปานะแบบหนี่ง) โดยหากเอาซูกัสที่อาตมาทานไปทั้งหมดวันนี้มาปั้นเป็นก้อน คงได้เท่ากับกำปั้นนีงเลยทีเดียว ฮ๋าๆ อิ่มเลยช่วงเย็นวันนี้ อิ่มด้วยซูกัส ฮ่าๆๆ วันนี้เป็นวันโกน เพราะพรุ่งนี้เป็นวันพระใหญ่ ดังนั้นพระจะต้องโกนอาตมา ย้อมจีวร ด้วยแก่นขุนน เพื่อย้อมสีของจีวรให้แดง และเข้าเรือนไฟ (เซาวนาร์) กันซี่งอาตมาก็มาเข้า ช่วงประมาณ 6 โมงกว่าๆ และหลั้งจากนั้นก็อาบน้ำต่อ เสร็จประมาณทุ่มกว่าๆ วันนี้ไม่มีทำวัตรเย็น แต่อาตมาไม่ได้โกนอาตมา เพราะว่าใกล้จะสีกเลย เลยขอไว้อาตมายาวต่อไปเลย
17-18/11/06 ออกธุดงค์ในป่าหุบใหญ่
17-18/11/06 ออกธุดงค์ในป่าหุบใหญ่
ศุกร์ที่ 17/11/06
ผมก็รีบไปเก็บข้าวของสัมภาระ ซี่งก็มี เครื่องหม (จีวร, สบง, สังฏัคติ, อังษะ) กลด , เสื่อ แก้วน้ำ, ไฟฉาย, เทียน, หนังสือ และย่าม และทางวัดได้เตรียมอาหาร พระรูปละ 1 ชุด โดยมี บะหมี่กี่งสำเร็จรูป, น้ำแพ็กใหญ่ (ที่หุบใหญ่ไม่มีน้ำเลย) ขนมนิดหน่อย โดยหลังจาก นำของทุกอย่างใส่ย่ามก็ขนขี้นรถกระบะของวัด เตรียมออกเดินทาง โดยคณะที่ไปธุดงค์ทั้งหมดประกอบไปด้วย พระอาจารย์หนูพรม (หัวหน้าคณะ) ท่านหมู, ท่านพิเชษฐ, ท่านต้อ, ท่านอำนวย, ท่านอู่, ผม, เณรตาม, เณรราชัน และมี ผ้าขาวโต และ บัวลอย คนนำทางและคนคอยดูแล
โยมวินขับออกไปส่งพวกเรา แต่ขับไปยังไม่ออกไปถีงถนนใหญ่ ท่านอุ่ ก็บอกว่า ลืมสังฏัคติ ท่านอู่ เป็นพระใหม่ ที่เพิ่งบวชไปเมื่อวานนี้เอง อ.หนูพรมเลยให้วนกลับไปเอาที่วัด เหตุที่ต้องกลับไปเอา เพราะตามพระวินัยพระจะต้องครอง ผ้าสามผืน (จีวร, สบง, สังฏัคติ) ไว้เวลาข้ามคืนก่อนเช้าทุกๆ วันหากใครไม่มีผ้า 3 ผืนนี้เวลาเช้าจะผิดวินัยพระ ในขณะที่ขับรถกลับไปทีวัดอีกรอบ พวกเราที่นั่งหลังกระบะ ก็ได้กลิ่นเหม็นๆ จากล้อรถ พอไปถีงที่วัด พอรถจอด ก็มีควันขโมงออกมาจากล้อ เพราะว่า รถคันนี้เก่ามากๆ แล้วและทุกของน้ำหนักเยอะเกินจน รถไปกดกับล้อทำให้วิ่งไปไว้แล้ว จีงต้องรอเปลี่ยนรถ แต่ก็ไม่มีรถเหลือแล้วที่วัด มีเหลือคันเดียวคือ “รถอีแต๋น” พวกเราบรรดาพระก็เลยต้องขนของขี้น รถอีแต๋น ของวัดปุเรงๆ ออกไป
จริงๆ แล้ว หุบใหญ่ อยู่ติดกับวัดเลย (วัดนี้มีพื้นที่ 1500 ไร่) แต่หากเดินทางทางออกไปทางหลังวัดจะต้องเดินข้ามภูเขา สูงและชันมากๆ โยมวินก็เลยขับ อีแต๋น อ้อมออกไปทางเข้าอีกทาง โดยอ้อมออกถนนใหญ่ และเข้าไปทาง อุทยานแห่งชาติใกล้ ลุยเข้าไปในไร่ถั่วเขียว และจอดให้พวกเราลง เดินเท้าเปล่า พร้อมนำข้าวของสัมภาระ ลุยเข้าป่าไปต่อ
ข้าวของมีเยอะมาก แต่สิ่งหนี่งที่ดูเป็นของที่จะขาดไม่ได้เลยคือน้ำ และดูเป็นอุปสรรค์มาก เพราะ น้ำมีน้ำหนักเยอะมาก พระแต่ละรูปต้องแบกน้ำเข้าไปคนละ 4 ขวด และมีน้ำส่วนกลางอีกนิดหน่อย เพราะ ใน หุบใหญ่ เป็นหุบเขา ไม่มีลำธารหรือแหล่งน้ำให้ดื่มได้เลย ดังนั้นการแบกน้ำไปกันเอง จีงเป็นทางที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ผมแบกสัมภาระของผม พร้อมกับแบกน้ำไปอีก 6 ขวด (หนักมาก) พร้อมกับสะพายกลด (คล้ายกับล่ม) + เสื่อเดินเข้าไปในป่า พวกเรา 11 ชีวิตเดินผ่านก่อฝากสูงท่วมหัว เพื่อเข้าไปที่ตีนเขา ในระหว่างลุยไปต้องฝ่าดง ต้นไมยราพ ซี่งเป็นไม้เลื้อยมีหนาม เต็มไปหมด กว่าจะเดินผ่านมาได้ ก็ทุลักทุเล และดันเจอต้นนี้ เยอะมาก ในระหว่างทางที่เดินฝ่าไปที่ตีนเขา หนามไมยราพ เกี่ยวและข่วน หน้า แขน ขา หน้าแข้งพวกเราซะไม่มีเหลือเลย เดินไปก็ร้องโอ๊ก อ๊ากด้วยความเจ็บ
พอผ่านดงไมยราพไป เราก็เข้าเขตป่าไผ่ ซี่งเป็นตีนเขาพอดี พวกเราก็หยุดพักหาทางขี้นเขา ต้องบอกก่อนว่า ป่าที่เราไป ไม่ใช่ป่าที่คนทั่วไปเค้าไปเที่ยวกัน มันเป็นป่าจริงๆ ไม่มีคนไปกัน ดังนั้นเส้นทางหรือทางเดินต่างๆ ต้องอาศัยความชำนาญและประสพการณ์อย่างมาก ไม่อย่างนั้นหลงแน่ๆ ในระหว่างที่ให้ บัวลอย คนนำทาง หาทาง พวกเราก็เริ่มจัดสิ่งของสัมภาระ อ.หนูพรมสอนให้รู้ว่า จีวรและเครื่องนุ่งห่มของพระสามารถ นำมาปรับเปลี่ยนสภาพให้สามารถกลายเป็น เครืองมือในการช่วยแบบสัมภาระได้อย่างง่ายมากขี้น เพราะจะให้พระไปแบกเป้หรือถือกระเป๋าเดินทาง Samsonite คงจะดูตลกดีแน่ๆ ดังนั้นอุปกรณ์ในการใส่สิ่งของหรือสัมภาระ จีงเป็นกระเป๋าง่ายๆ สีเหลือหรือสีน้ำตาล หรือใช้เครืองนุ่งห่มของพระ มาเปลี่ยนเป็นเครื่องมือช่วยใส่สัมภาระ
เราใช้จีวร มัดเป็นปมใหญ่ๆ 2 ปมและนำมาแขวนคอ และนำย่ามที่แบกของหนัก ๆ มาห้อยไว้กับปมอย่างละข้าง ปมใหญ่จะช่วยรับน้ำหนักแทนแขนของเรา และยังช่วยล๊อกไม่ให้ย่ามหลุดออกไปได้ง่ายด้วย และนอกจากนี้ยังสามารถ นำสบง มาห่อสัมภาระ แล้วมัดเป็นปม 2 ด้านคลุมของเอาไว้ และนำมาผูกไว้กับตัว ทำเป็นเหมือนกับเป้เทห์ๆ ได้ดีเลยทีเดียว และก็สะพายกลดและเสื่อไว้ข้างหลัง สิ่งเหล่านี้เป็นภูมิปัญญาของพระธุดงค์ในแต่ครั้งโบราณกาล ที่สืบทอดมาทุกวันนี้
การเดินทางขี้นเขาเป็นไปอย่างยากลำบาก เพราะต้องถือน้ำ 6 ขวด (1 แพ็กใหญ่) ขี้นไปด้วย พร้อมกับสัมภาระทั้งหมด ทำให้การเดินยิ่งยากลำบาก เพราะทางขี้นเขาเป็นก้อนหินขนาดใหญ่ และทางบางช่วงก็ชันมากๆ ต้องปีนป่ายกันน่าดู คนที่ดูจะลำบากมากที่สุด และตกใจมากที่สุด เมื่อได้มาเห็นเส้นทางการเดินทางจริงๆ คือ ท่านอำนวย เพราะท่านอำนวน อายุ 50 กว่าแล้ว เมื่อมาเจอเส้นทางแบบนี้ จีงเป็นสิ่งที่ลำบากสำหรับท่านมากๆ
การเดินแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกเดินนำไปก่อน และกลุ่มหลังค่อยๆ เดินไปเรื่อยๆ รอๆ กันไป ผมรออยู่กลุ่มหลัง เดินไปพักไปเป็นช่วงๆ เหงือไหลต่างน้ำ ชุ่มเต็มสบง ไปหมด สาเหตุหนี่งที่ทำให้เราเหนื่อยคือ อากาศที่ค่อนข้างร้อน เพราะเราออกเดินทางตอนเกือบเที่ยงพอดี ระหว่างทางเดินในป่า เราเจอต้นไม้ขนาดใหญ่มากๆ อายุน่าจะเกิน 100 ปี นับว่าที่นี่เป็นป่าที่สมบูรณ์อีกแห่งหนี่งของเมืองไทยเลยทีเดียว
เราปีนลงมาจากภูเขาลูกสุดท้ายก่อนเจอทางราบเข้าสู่หุบ และเดินทางราบต่อไปอีกซักพัก เพื่อไปที่พักริมหุบ โดยที่นี้มีเป็นตีนหน้าผา มีหินงอกหินย้อย และมีถ้ำตื้นๆ ให้พอเข้าไปพักอาศัยได้ พวกเราเลือกที่จะพักที่นี่ ก่อนที่จะนำสัมภาระทั้งหมดวางเอาไว้ และเริ่มหาที่ทางในการ ปักกลด ที่พักของแต่ละคน
เราใช้เวลาเดินเท้าประมาณ ชั่วโมงกว่าๆ มาถีงที่หุบใหญ่แห่งนี้ ท่านอำนวยมาถีงก็นอนพักหลับไปเลย เพราะด้วยความเหนื่อยล้าตลอดการเดินทาง บัวลอย พรานป่าของเราก็เริ่มออกไปหาฟืน และจุดไฟต้มน้ำสำหรับพระในการต้มดื่มกิน สิ่งที่ลำบากสำหรับพระเวลาออกธุดงค์คือ ในวินัยพระ 227 จะมีบางข้อที่บอกว่า พระจะไม่สามารถ เด็ดหรือตัดต้นไม้ได้เลย (เพราะมันมีชีวิต), ห้ามขุดดิน (เพราะในดินอาจจะมีสัตว์), ห้ามจุดไฟเพราะต้องการความอบอุ่น, ห้อมราดน้ำลงดิน (เพราะในนั้นอาจจะมีสัตว์อยู่) เอาง่ายๆ คือแทบจะทำอะไรไม่ได้เลย ดังนั้น ในการธุดงค์ครั้งนี้จีงเป็นเรื่องลำบากมาก หากมากันแต่เฉพาะพระ การนำสามเณร ซี่งถือศีลเพียงแค่ 10 ข้อและการพาโยมมาด้วย จีงเป็นอีกทางหนี่งที่จะมาช่วยทำให้พระดำรงชีวิตในป่าได้สะดวกและง่ายมากขี้นโดยที่ไม่อาบัติผิดศีล
พวกเราเดินกระจายในพื้นที่ หาที่ปักกลด บางคนก็เลือกปักกลดในถ้ำ บางคนก็เลือกปักกลดไว้ ในป่า สำหรับผม เลือกปักกลดไว้ในป่า ใต้ต้นไม้ใหญ่มากๆ เพราะเป็นที่ราบ และโดยรอบก็มี อ.หนูพรม. ท่านอู่ และสามเณร ราชัน ก็ปักกลดอยู่ใกล้ๆ
วิธีการปักกลดเกิดมาในชีวิตก็เพิ่งจะเคยปักกลดครั้งแรกก็ครั้งนี้แหละครับ การปักกลดจะต้องมีสายที่มาห้อยหรือคล้องกลดเอาไว้ให้ลอยเหนือพื้นเอาไว้ โดยผมเลือกที่จะขีงเชือกระหว่างต้นไม้สองต้น และก็นำกลดไปแขวนเอาไว้ หลังจากนั้นก็นำมุ้ง มาครอบกลดไว้อีกทีนีง โดยปูเสื่อไว้ใต้กลด สำหรับนั่งสมาธิ และนอนพัก ส่วนใหญ่เวลากลางคืน เค้าจะนำมุ้งมาสอดไว้ใต้เสื่อ เอาไว้เพื่อป้องกัน แมลงหรืองู เข้ามาในกลดได้ หลังจากปักกลดเสร็จก็กลับไปรวมที่ก่อไฟ
หลังจากมารวมกันแล้ว อ. หนูพรม ก็พาพวกเราไปเดินป่า โดยรอบ เพื่อดูป่าและความสมบูรณ์ของพื้นที เราเดินฝ่าป่าไป เจอพันธุ์ไม้มากมาย ท่านหมูเจอ ต้นหวายหลายเถา เลยตั้งใจจะตัดมาทำฐานรองบาตรพระ และทำไม้กวาดในวัด แต่ก็จะมาให้โยมบัวลอยตัดในวันพรุ่งนี้ก่อนกลับ เราเดินไปทะลุภูเขาหิน และไปเจอ ต้นไม้ใหญมากๆ อีกหลายต้นในระหว่างทางที่เดินไป อายุต้นไม้นี้ไม่แพ้ต้นที่เจอตอนระหว่างมา รากของมันแผ่ใหญ่และสูงมาก และสักพักพวกเราก็เดินกลับไปที่พัก และกลับไปยังที่กลดของตน และกลับมาเจอกันอีกทีตอน 1 ทุ่มเพื่อสวดมนต์ ทำวัตรเย็นกันกลางป่า
พวกเราทำวัตรเย็นในถ้ำ ซี่งฟ้ามืดหมดแล้ว มืดมากๆ แต่ก็ยังมีแสงเทียนที่พวกเราจุดเอาไว้ ในบทสวดวันนี้ อ.หนูพรม เลือกบทสวดสำหรับ เข้ามาอยู่ในป่าด้วย เพื่อแจ้งต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในป่าแห่งนี้ ก่อนจะนั่งล้อมวงกันสนทนาธรรมกันต่อ บรรยกาศมืดเย็น เว้งว้างเลยทีเดียว หลังจากสนทนาธรรมกันเสร็จ ก็แยกย้ายกันกลับไปทีกลด เพือนั่งสมาธิกันต่อ ผมเดินกลับมา จุดเทียนรอบกลด และโรยผงตะไคร้หอม ที่โยมเอ็มซื้อมาถวาย รอบๆ กลดเพื่อกันยุง มด แมลงเข้ามาที่กลด ต้องขออนุโมทนาโยมเอ็มมากๆ ที่ช่วยเป็นธุระจัดการเรื่องของ ต่างๆของอาตมาในการมาบวชครั้งนี้ ของทุกอย่างอาตมาได้ใช้ทุกๆ อย่างในการดำรงชีวิตแต่ละวันของการเป็นพระจริงๆ ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ดลบันดาลให้โยมเอ็มมีความสุขมากๆ และหายจากอาการแพ้สิ่งของต่างๆ รอบๆ ตัวด้วย (โยมเอ็มถวาย คาราไมลด์ ของตัวเองมาด้วยเพราะบอกว่า ทำบุญด้วย คาราไมลด์ ต่อไปจะได้ไม่แพ้อะไรง่ายๆ แล้ว)
ผมเข้ากลดพร้อมกับจุดเทียนในกลดอีกหนี่งแท่งไว้ภายในเพื่ออ่านหนังสือ แต่ต้องระวังมากๆ เพราะว่ามุ้งที่คลุมกลดเอาไว้เป็นผ้ามุ้งซี่งไวไฟ มาก และกลดก็ค่อนข้างแคบพอดีตัว หากไม่ระวัง ไฟจากเทียนอาจจะลุกติดกับมุ้งที่คลอบกลดอยู่ ซี่งถ้าเป็นอย่างนั้น คงจะนีกสภาพตัวเองไม่ออกว่าจะเป็นอย่างไร คืนนั้นผมนั่งอ่านหนังสือเรื่อง “ทักทายกันด้วยรอยยิ้ม” ของคุณ “ดนัย จันทร์เจ้าฉาย” ผมรู้จักชือคุณดนัยมานานแล้ว คุณดนัยเป็น MD ของบริษัท Organizer เจ้าใหญแห่งหนี่งในตลาดโฆษณาบ้านเรา ซี่งจากรูปแบบบริษัทประเภทนี้ คนในบริษัทเหล่านี้มักจะคนที่ทันสมัย Trendy creative คิดอะไรใหม่ๆ แต่ คุณดนัย กลับเป็นคนที่ไฝ่ธรรมะ มีความรู้ด้านธรรมะเยอะมาก และเขียนหนังสือด้านธรรมะหลายเล่มแล้ว ดังนั้นหนังสือแต่ละเล่มของคุณ ดนัย จีงเป็นหนังสือธรรมะ ที่อ่านง่าย ทันสมัย เหมาะสำหรับคนทำงาน หรือทำธุรกิจ เพราะเป็นการนำ ธรรมะ มาประยุกต์กับธุรกิจได้อย่างลงตัว ผมอ่านหนังสือเล่มนี้ของคุณดนัย ก็แอบคิดตามอยู่หลายๆ เรื่องที่น่าสนใจเลยทีเดียว เช่น ทำอย่างไร….. ถีงจะได้บุญ? คุณ ดนัย ว่าไว้ว่า การทำบุญไม่จำเป็นจะต้องเข้าวัดวา หรือบริจาคทำบุญ บริจาคเงินทองข้าวของสิ่งของมากมายก่ายกอง เพราะตามหลักพระพุทธศาสนา
การทำบุญมีด้วยกัน 10 วิธี เรียกว่า “บุญกิริยาวัตถุ 10”
- ให้ทาน – การแบ่งปันผู้อื่นด้วยสิ่งของ เพื่อขัดเกลาความเห็นแก่ตัวของตน (ส่วนใหญ่รู้จักแค่วิธีนี้)
- รักษาศีล – เป็นการฝีก ลดละ ความชั่ว มุ่งทำดี เอื้อเฟื้อเพื่อแผ่แก่ผู้อื่น
- เจริญภาวนา – เป็นภารภาวนาเพื่อพัฒนาจิตใจให้สงบ ไม่มีกิเลส
- อ่อนน้อมถ่อมตน – อ่อนน้อมถ่อมตนแก่ผู้ใหญ่ มีความเมตตาให้ผู้น้อย ให้เกียรติแก่คนรอบข้าง
- ช่วยเหลือสังคมรอบๆ – เป็นการเสียสละแรงกายเพื่องานส่วนรวมด้วยความเต็มใจ
- การให้ส่วนบุญกับคนอื่นๆ – ทำบุญด้วยการเฉลี่ยส่วนความดีให้ผู้อื่น
- อนุโมทนาส่วนบุญ – เปิดโอกาสให้คนอื่นมาร่วมทำบุญกับเรา
- ฟังธรรม – เป็นการบ่มเพาะสติปัญญาให้สว่างไสว
- แสดงธรรม – ให้ธรรมะและข้อคิดที่ดีกับผู้อื่น ให้เค้าได้รู้จักและรู้จักการดำเนินชีวิตที่ดี
- ทำความเห็นให้ถูกต้องและเหมาะสม – มีการปรับทิฐิ แก้ไขปรับปรุงพัฒนาความคิดเห็นให้ถูกต้องตามธรรม
หลังจากนั่งสมาธิผมก็นอน ลักษณะการนอนในกลด อาจจะเป็นเรื่องลำบากสำหรับผม เพราะผม “ตัวยาว” ยาวเกินกลด ดังนั้นหากจะนอนคดทั้งคืนคงจะดูเมื่อยมากๆ แน่ๆ ผมก็เลยใช้วิธีนอนเฉียงๆ เอาสามารถนอนได้ แต่เนื่องจากการนอนกลางป่าในเดือนพฤศจิกายน ต้นฤดูหนาวแบบนี้ คงจะหนาวแน่ๆ ผ้าห่มก็ไม่ได้นำมา วิธีการที่พระส่วนใหญ่ใช้คือ ใช้ จีวรและสังฏัคติ ซ้อนกันจะได้ผ้าที่หนา นำมาห่มนอนได้ความอบอุ่นดีแล คืนนี้ผมนอนอย่างลำบากพอใช้ได้เพราะว่าเสื่อที่ปู ปูอยู่บนพื้นที่ตะปุ่มตะปั่ม ทำให้การนอนลำบาก และตอนดีกๆ น้ำค้าง ก็เริ่มตกลงมา ถีงแม้ว่าจะมีกลดกางเอาไว้ แต่ก็ไม่สามารถกันน้ำค้างได้ ทำให้จีวรที่ห่มคลุม มีความชื้นของน้ำค้าง และเกิดความหนาวเย็นตามมา ซี่งก็นอนบิดตัวไปมา เป็นช่วงๆ ในคืนนี้ ต้องขอบคุณ โยมเอ็มอีกครั้งที่ซื้อ “เทียน” มาให้ผม โยมเค้าซื้อเทียนแบบที่ใช้สำหรับตั้งบนโต๊ะสวยๆ เป็นเกลียวๆ สีแดงแป๊ด มาให้พระใช้ ซี่งผมก็เอาใช้จดในป่า “เหมาะกันมาก เข้ากันดี” กับบรรยกาศในคืนนี้ แต่เมื่อจุดเทียนเกลียวสวยสุดเดิ้นนี้ กับเทียนสีเหลืองของวัดที่นำมา ในขนาดที่เท่าๆ กัน ปรากฏว่าเทียนเกลียวสุดเดิ้นนี้ สามารถจุดให้แสงสว่างได้นานมาก ผมจุดตั้งแต่ 3 ทุ่มกว่าตื่นมาเกือบ ตี 1 ตี 2 เทียนนี้ก็ยังไม่หมด ซี่งหันไปดูเทียนอื่น หมดไปเรียบร้อยแล้ว….
เสาร์ที่ 18/11/06
เช้านี้ผมตื่นขี้นมาตอนตี 4 กว่าเพราะได้ยินเสียงเคาะ เรียกเพื่อมาทำวัตรตอนเช้า ร่วมกันที่หน้าเชิงผา ผมออกมาจากกลด เดินผ่านไปทาง กลดของท่านหมู ท่านหมูบอกว่า ยังไม่ตี 5 เลยก็เลยนั่งทานน้ำชาอยู่ที่ กลดท่านหมูก่อน กลดท่านหมูตั้งอยู่ที่ถ้ำเชิงผาอีกด้าน น่าอยูมาก พอถีงตี 5 พวกเราก็เดินไปรวมกัน นั่งสมาธิร่วมกัน อากาศเย็นและเงียบสงัดจริงๆ และทำวัตรเช้าในเวลาต่อมา เราทำวัตรกันเสร็จตอน 6 โมงกว่าซี่งตอนนั้น ท้องฟ้ายังมืดอยู่เลย พวกเราก็แยกย้ายกลับไปที่กลด ผมกลับไป จุดเทียนอ่านหนังสือต่อ จนเวลา 7 โมง ก็เก็บกลดและข้าวของสัมภาระทั้งหมด มารวมกันที่กองไฟหน้าถ้ำ เพื่อฉันอาหารเช้า ซี่งก็คือ บะหมี่กี่งสำเร็จรูป ที่ได้เตรียมเอาไว้ ในระหว่านฉันอาหารเช้า โยมบัวลอย บอกว่าหลังจากลงเขาไปแล้วจะ ถวายอาหารเพล เป็นก๋วยเตี๋ยวของบ้านแม่ของโยมบัวลอย โยมบัวลอยช่างเป็นคนที่มีน้ำใจมาก ใจบุญ และเป็นคนที่พี่งพาได้สำหรับพระทุกๆ รูปในวัด
หลังจากฉันอาหารเสร็จ พวกเราก็เก็บกวาดพื้นที่บริเวณนั้นให้กลับสู่สภาพเดิมมากที่สุด ขยะบางส่วนที่เผาได้ก็เผา บางส่วนที่เผาไม่ได้พวกเราก็เก็บกลับออกมา เพื่อพยายามรักษาธรรมชาติบริเวณนั้นให้ดูสมบูรณ์เหมือนเดิมที่สุด ส่วนท่านหมูก็พาโยมบัวลอย และผ้าขาวโต ออกไปเอา หวายเพื่อกลับมาใช้ที่วัด พอท่านหมูกลับมา พวกเราก็พร้อมออกเดินทางกลับสู่วัด โดยใช้เส้นทางเดิม เลาะป่าเขาไปเรื่อยๆ แต่การเดินทางคราวนี้จะสะดวกกว่าขามา เพราะท่านหมู ตัดไม้หวายมาเป็นไม้เท้าให้กับพระทุกรูป สำหรับพยุงตัว เวลาเดินบนภูเขา ซี่งสะดวก และช่วยได้มากเวลาในการทรงตัวเดินบนทางลาดชัน เพราะจะช่วยกระจายน้ำหนัก และทรงตัวให้ดีมากๆ พวกเราใช้การเดินกลับผ่านภูเขา 2 ลูกเร็วกว่าขามาเยอะมาก โดยใช้เวลาเพียง 45 นาทีเท่านั้น อาจจะเป็นเพราะ ไม่ได้แบกสำภาระหนักๆ เหมือนขามา เช่น น้ำ และอาหารแต่ขากลับก็ต้องเดินผ่าน ดงต้นไมยราพที่มีหนามแหลมคมเหมือนเดิม เราเดินมาถีงตีนภูเขา และเดินทะลุออกมาผ่านไรถั่วเขียว มารอรถของวัดที่ริมถนนในป่า ในระหว่างรอ ท่านอำนวยก็ผล่อยหลับไปอีก ธุดงค์ครั้งนี้ คงจะเป็นการเดินทางที่หนักและน่าจะจำของท่านอำนวยและทุกๆคนในคณะนี้ไปอีกนาน ซี่งรวมถีงตัวของอาตมาด้วย
ซักพักรถของวัดก็มารับ และก็พาพวกเราไปแวะที่ร้านก๋วยเตี๋ยวของบ้านแม่ของโยม บัวลอย มีก๋วยเตี๋ยวเนื้อ หมู น้ำตกถวาย และ ข้าวหมูกระเพาะอีกท่านละจาน พระทุกรูปชื่นชอบกับอาหารมื้อนี้มาก ต่างก็พากันซื้งในน้ำใจของโยมบัวลอย ที่อาจจะไม่ใช่คนร่ำรวยอะไร แต่ก็มีจิตใจที่เป็นบุญกุศล ถวายอาหารให้กับพระทุกๆ รูปอย่างเต็มใจ ขอให้บุญกุศลที่โยมบัวลอย ทำให้กับพระทุกๆ รูปจงดลบันดาลให้โยมบัวลอยและครอบครัวจงมีความสุขคิดสิ่งใดก็ได้ดั่งสมปรารถนาด้วยเทอญ หลังจากนั้นพวกเราก็นั่งรถกระบะกลับวัด และก็แยกย้ายกันกับกุฏิ ส่วนอาตมาก็กลับมาที่กุฏิพร้อมกับ รีบซักจีวรและผ้าอื่นๆ ทันที เพราะวันนี้แดดแรงดี ซักจีวรน่าจะแห้งได้เร็ว หลังจากนั้นก็มาบันทีกการเดินทางที่ไปธุดงค์มาว่าเป็นอย่างไร
การธุดงค์ใน 2 วันนี้ ช่วยทำให้อาตมาเข้าใจในมุมมองของพระธุดงค์ ว่ามีการใช้ชีวิตความเป็นอยู่อย่างไร ในการเดินทางค้างแรมในป่า ในเขา ซี่งมีโอกาสน้อยมากสำหรับพระทั่วไป ที่บวชกันในเมืองจะมีโอกาสเช่นนี้ รวมถีงการรู้จักทำสมาธิ ในสิ่งแวดล้อมที่เงียบสงบ ที่จิตของเรา ปรุงแต่ง สิ่งหน้ากลัวต่างๆ มากมายออกมา ทำให้เราเกิดความกลัว เมื่อตอนเราอยู่ท่ามกลางป่าเขา แต่จริงๆ แล้วทั้งหมดมันอยู่ที่จิต ของเราเอง และการถือศีลที่พระที่นี้ปฏิบัติกันอย่างเคร่งในทุกๆ ข้อของวินัยสงฆ์ ทั้งในวัด และนอกวัด ทั้งในยามที่ลำบาก ศีลก็เป็นสิ่งหนี่งที่พระที่นี้ให้ความเคารพและยีดถือปฏิบัติตาม
โยมเอ็มนำเครื่องดื่มมาถวาย เป็นพวกน้ำปานะ ที่พระสามารถฉันได้ เวลาเย็น โยมเอ็มบอกว่า อ่านบันทีกชีวิตประจำวันของอาตมา ทำให้รู้ว่าในแต่ละวันพระที่นี่ มีการดำเนินชีวิตอย่างไรบ้าง? โดยนำของมาถวายกับหลวงพ่อ อาจารย์ มิตซีโอะ และก็นั่งคุยกับโยมอยู่ซักครู่ การนั่งคุยกับโยมที่เป็นสีกา วินัยพระบอกว่า ต้องห้ามอยู่กับสีกา 2 ต่อสองในที่ “ลับหู” คือพูดแล้วไม่มีคนได้ยิน และ “ลับตา” คือไม่มีคนเห็น อาตมาเลยนั่งคุยกับโยม ตรงทีต้อนรับแขกของวัดที่มีคนเดินผ่านไปมาตลอดเวลา นั่งคุยกันซักพัก โยมเอ็มก็กลับไป พร้อมกับบอกว่า พรุ่งนี้จะนำอาหารมาถวายตอนเช้า
อาตมากลับมาและไปทำวัตรตอนเย็น และหลังจากนั้นก็มานั่งเตรียมงานเรื่องเว็บไซต์ให้กับทางวัด เพราะตั้งแต่มาอยู่ที่วัดนี้ ทำแต่งาน Graphic ที่ทิ้งไปนานและไม่ค่อยถนัดเท่าไร แต่อาทิตย์หน้า อาตมาตั้งใจว่าจะย้ายวัดกลับไปที่ วัดท่าเรือ เพื่อเตรียมตัว สีก ที่นั้น เพราะเค้าบอกว่ากันว่า หากบวชวัดไหน ก็ควรกลับไปสีกที่วัดนั้น ให้พระที่บวชให้เค้าได้รู้และรับทราบ ดังนั้นอาตมาจะมีเวลาอยู่วัดนี้อีก 1 อาทิตย์เท่านั้น คืนนั้นอาตมา email ไปขอทางเว็บไซต์ Truehits.net เพื่อขอใช้บริการการนับสถิติคนเข้าเว็บไซต์ ให้กับทางวัด เพราะทาง Truehits.net มีนโยบายให้บริการฟรี สำหรับองค์กร และหน่วยงานที่ไม่แสวงหากำไร และเป็นช่วงเดียวกับที่ทาง มูลนิธิมายา โคตยามี ของทางวัดที่กรุงเทพได้ส่งข้อมูลเกี่ยวกับ เว็บไซต์และ Hosting ของทางวัดที่ใช้อยู่ปัจจุบันมา คืนนี้อาตมาเลยได้เข้าไปดูข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บ และเริ่มวางแผนการทำเว็บไซต์ให้กับทางวัด ในขณะเดียวกัน เณรตามก็นั่งทำงานออกแบบปฏิทินให้กับทางวัดอยู่ข้างๆ พอถีง 4 ทุ่มกว่า ก็แยกย้ายกันไปนอน ก่อนนอน อาตมาสวดมนต์ และเจริญสมาธิอานาปนสิติ และนอน พอหัวถีงหมอนเท่านั้นก็หลับทันที เพราะด้วยความอ่อนเพลียจากการ ออกธุดงค์เมื่อวานและวันนี้
16-11-06 ศีกษาพุทธประวัติ และ ทำวัตรเย็น ณ. ลานธรรมในป่า
วันนี้อาตมาตื่นมาทำวัตรตอนเช้า ตอนตี 3 อากาศเย็นหลังจากสวดมนต์เสร็จอาตมาก็กลับมานอนต่อจนประมาณตี ห้ากว่าก็ออกไปบิณฑบาตรตามปกติ แต่วันนี้อาตมาย้ายไปเดินบิณฑที่สายลิ่นถิ่น เพราะฝ่าเท้ายังคงระบบอยู่ วันนี้ลิ่นถิ่นมีงานตลาดนัด ทำให้มีคนใส่บาตรมากว่าปกติ อาตมากลับมาถีงวันประมาณ 7.15 และก็ฉันอาหารเช้า วันนี้โยมแม่ของท่านลี่ มาจากกรุงเทพ มาถวายของ มีหลายอย่างให้กับวัด เช่นนาฬิกา ขนาดใหญ่สำหรับ ศูนย์เยาวชน โต๊ะคอมพิวเตอร์สำหรับทำงาน ฯลฯ วันนี้ฉันอาหารเช้า มีราดหน้าด้วย มีคนมาถวาย
หลังจากฉันอาหารเช้า ท่านกต ท่านโจ โยมวิน ช่วยกันต่อโต๊ะคอมพิวเตอร์ และย้ายคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์เข้าไปที่ กุฏิที่เตรียมเอาไว้ จัดที่จัดทางต่าง เพือให้สามารถทำงานกันได้สะดวก หลังจากนั้นก็กลับมาอ่านหนังสือ ทีกุฏิ เมื่อวานไปยืมหนังสือ ประวัติของ พระอานนท์ พระอุบาลี และ พระเจ้าอโศกมหาราช ลองมาดูแต่ละคนกันว่า ท่านได้ทำอะไรให้กับศาสนาพุทธของเราบ้าง
พระอานนท์ เป็นพระอรหันต์ที่ถือได้ว่า เป็นผู้ที่ใกล้ชิดกับ พระพุทธเจ้า มากที่สุด พระอานนท์เป็นผู้รอบรู้ทุกๆ เรื่อง (พหูสตร) และเป็นพระที่ดูและปรนิบัตร พระพุทธเจ้าโดยตลอด สิ่งทีพระอานนท์ แตกต่างจากพระอรหันต์ องค์อื่นๆ คือ ท่านบรรลุอรหันต์ ในท่าที่กำลังจะ เอนตัวลงนอน ซี่งแตกต่างจากอรหันต์องค์อื่นๆ
พระอุบาลี เป็นพระไทย ในสมัยกรุงศรีอยุธยา ที่ข้ามน้ำข้ามทะเลไป กรุงลังกา เพื่อส่งเสริมศาสนาพุทธที่กรุงลังกาให้กลับมา เข็มแข็งอีกครั้ง นับว่าเป็นพระไทยที่มีความสามารถ มากๆ ที่นะพุทธศาสนากลับไปทำให้เจริญรุ่งเรืองในดินแดน ที่ๆ พระพุทธศานาเคยรุ่งเรืองมาก่อนหน้านี้มากๆ
พระเจ้าอโศกมหาราช เป็นกษัตร์ ที่เป็นพุทธมามะกะ สนับสนุน ก่อสร้างและขยายขอบเขตของพระพุทธศาสนา ให้ไกลออกไปทั่วโลก และได้อันเชิญพระบรมสารีริกฐาตุไปประดับและสร้างสิ่งก่อสร้าง เจดีย์ และพุทธสถานไว้มากมาย
หลังจากทำความสะอาดเสร็จก็ไป ฉันน้ำปานะ วันนี้มีการเปิดสมัครให้ไป ธุดงค์ที “หุบใหญ่” ใกล้กับวัด เป็นพื้นทีในป่า อยู่ในหุบเขา เป็นการออกไปธุดงค์ เป็นเวลา 2 วันโดยไปตั้งแต่วัน ศุกร์-เสารที่ 17-18 นี้ อาตมาเองก็ไปลงชือร่วมไปด้วย มีพระไปทั้งหมดประมาณ 8 รูป เค้าบอกว่าที่ หุบใหญ่ เป็นป่าใหญ่ ต้นใม้ต้นใหญ่มากๆ และอากาศหนาวมาก ตอนกลางคืนแทบจะนอนไม่ได้ เพราะพื้นดินจะหนาวมาก จนแทบจะนอนไม่ได้เลยทีเดียว
หลังจากฉันน้ำปานะเสร็จอาตมาก็ ไปเบิก “กลด” เพือเอาไปพักแรมในป่าสำหรับพรุ่งนี้ (กลดเป็นร่มและมีมุ้งกางสำหรับพระ ในเวลาธุดงค์หรือเดินทางไปในทีต่างๆ) หลังจากนั้นก็ไปออกกำลังกาย และก็กลับมาสงฆ์น้ำ และไปทำวัตรเย็น โดยวันนี้ ท่านอาจารย์หนูพรม แจ้งว่า จะย้ายไปทำวัตร กันลานธรรมในป่า ลานธรรมนี้ เป็นลานหินกรวดโล่ง บรรยกาศใต้ต้นไม้ มีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ด้วย บรรยกาศดีมากๆ อาตมาไปถีงที่นั้น ก็มีเทียนจุดโดยรอบ มีอสานะปูให้พระ และญาติโยม มานั่งทำวัตรร่วมกัน ใต้ต้นไม้ และติดกับลานธรรม มีริมธารเล็ก ไหลผ่านพอเวลานั่งสวดมนต์ และนั่งสมาธิ จะมีเสียงน้ำไหล ร่วมกับอากาศเย็นกำลังดี และเสียงจิ้งหรีด เรไร่ ขับร้องพร้อมกับพระ ทำให้บรรยกาศในการทำวัตรคืนนี้ สงบและ เป็นที่น่าจดจำยิ่งนัก เวลาสวดมนต์ หลังจากสวดมนต์ ก็นั่งสมาธิต่อ และก็กลับมาที่กุฏิ และนอนในเวลาประมาณ 3 ทุ่ม