เทคนิคการพาทีมไปให้ถึงเป้าหมาย

หากคุณเป็นหัวหน้า และถ้าคุณต้องการขับเคลื่อนทีมและองค์กรไปข้างหน้า คุณต้องมั่นใจว่า

1. คุณได้ชี้เป้าและทิศทางให้ทีมคุณรู้ว่า พวกเรากำลังจะไปในทิศทางไหน? (Target & Direction)
2. คุณต้องบอกเค้า เราจะไปได้ยังไง? ด้วยวิธีอะไร? (Strategy & How to)
3. คุณต้องบอกเค้าว่า เค้ามีส่วนสำคัญ และมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเดินทางไปในทิศทางนั้น แค่ไหน อย่างไร (KPI & OKR)
4. และต้องเตรียมความรู้ ให้กับทีมทุกคนให้พร้อมกับการเดินทางในครั้งนี้ (Training and Education)
5. คุณต้องสื่อสารกับทีมอยู่เสมอ ว่าตอนนี้เราอยู่ตรงไหนอย่างโปร่งใส (Transparency & Communication) และเราจะปรับตัวอย่างไร?

นั่นคือส่ิงที่ผมทำกับทีมของผมมาตลอดนับสิบปี

ยกตัวอย่างเช่น

ปี 2022 ผมกำลังพาทั้งบริษัทเข้าสู่ Web 3.0 ผมแจ้งทุกคน ว่าเรากำลังจะไปทิศทางนี้ (Direction) เป้าของเราคืออะไร เท่าไร (Target) และจะไปด้วยกลยุทธ์ (Strategy) อะไร?

ดังนั้นการเตรียมให้ทุกคนพร้อมกับการมุ่งสู่เทคโนโลยีใหม่ ผมได้ทำการสอนและเทรน รวมไปถึงพูดกับทีมงานให้เข้าใจถึง CryptoCurrency, Web 3.0 และ Decentralize อย่างต่อเนื่อง

ผมสอนให้ทุกคนเข้าใจถึง Web 3.0

เปิดคลาสสอน การฝากเงินกับ Defi ในรูปแบบ Yield Farming ให้กับชาว TARAD, PaySolutions และ Creden

ผมมีโครงการที่จะให้ทีม​ “สร้างรายได้พิเศษผ่าน DeFi” โดยผมสมทบเงินพิเศษ เพื่อให้ทีมสามารถสร้างดอกผลจาก DeFi ได้

เทคนิคการเปลี่ยนแบรนด์ (Rebrand) ของ TARAD.com

ในช่วงที่ผมทำงานกับ Rakuten บริษัท E-Commerce เบอร์​ 1 ของญี่ปุ่น เรามีแผนที่จะ ReBrand ของ TARAD.com ไปเป็น Rakuten.co.th. (เอาจริงๆ ตอนนั้นแอบใจหายเหมือนกันนะที่แบรนด์ที่เราสร้างขึ้นมา จะหายไปแล้ว) แต่ก็ต้องเดินหน้า ผมเอาแนวทางที่เราทำกันในช่วงนั้นมาให้ดูครับ จะเห็นได้ว่าทีมญี่ปุ่น เค้าวางแผนไว้ทุกด้านจริงๆ ข้อมูลแน่นปึ๊กจริงๆ (ตั้งแต่ปี 2012)

แนวทางการ Transition ของแบรนด์ TARAD.com สู่ Rakuten.co.th ที่วางเอาไว้

ลูกต้องเขื่อฟังพ่อแม่ ไม่มีแล้วในยุคนี้ มีแต่พ่อแม่ต้องเข้าถึงลูก

ใครเป็นพ่อแม่ มีโอกาสดู Manifest (Netflix) เป็นเรื่องของเรื่องพิศวง บนเครื่องบิน.!

แต่ตัดมาในส่วน Season 1 Episode 4 ที่พูดถึงเทคนิคการสื่อสารกับลูกได้น่าสนใจมากๆ โดยเหตุการณ์เกิด เมื่อลูกสาวของ Ben ตัวเอกของเรื่อง ไปจิ๊กของในร้านแล้วโดนจับได้

แต่พ่อ Ben Stone ได้มีวิธีสอนลูกได้เฉียบมาก โดยเค้าไม่ว่าอะไรลูก แต่ใช่วิธีการการดึงตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์เดียวกับลูก บอกว่าตัวเองก็เคยจิ๊กของเหมือนกันตอนเด็ก แล้วเราประสบการณ์ที่เค้าเจอในอดีตให้ลูกฟัง เป็นการสอนลูกอย่างชาญฉลาดมากๆ ดูแล้วโคตรชอบเลย (จนต้องมาเขียนแชร์)

การเลี้ยงดูเด็กๆ ในยุคนี้ เราไม่สามารถ นำกรอบเดิมๆ ที่พ่อแม่เคยเจอมาก่อนในอดีต มาใช้กับเด็กในตอนนี้ เราอยู่กันคนละ Context คนละกรอบ กฏเกณฑ์ และช่วงเวลาที่ต่างกัน พ่อแม่ต้องยอมรับ และเข้าใจตรงนี้ก่อน

พ่อแม่ต้องรู้จักปรับตัว เรียนรู้ เข้าใจหรือ “Engage” ลูกๆ ให้มากๆ

เมื่อเค้ารู้สึกว่า “เราเข้าใจเค้าแล้ว” เค้าจะเปิดใจ รับฟังเรามากขึ้น แล้วค่อยๆ สอนเค้า เมื่อเค้าเปิดใจรับเราแล้ว

แต่หากเราใช้วิธีเดิมๆ ที่ผู้ใหญ่รุ่นก่อนๆ ใช้คือ ดุ ด่า ว่า กล่าว วิธีนี้จะทำให้เค้า ไม่ได้อินอยู่กับเรา เค้าจะปิดรับ เพราะเหมือนเค้าถูกบังคับ ให้ฟัง หรือทำตาม.. แบบนี้เราจะไม่สามารถโน้มน้าวเค้าได้เลย ยิ่งเป็นเด็กในยุคนี้

เด็กสมัยนี้เปลี่ยนไปแล้ว เราต้องเปลี่ยนและปรับตาม.!

สูตรสมดุลย์ของทีมที่จะเติบโตไปข้างหน้า

ธุรกิจจะเติบโตไปข้างหน้าได้ ต้องมีส่วนผสมของ ทีมที่กลมกล่อม หากเปรียบเทียบกับรถยนต์จะเป็นรูปแบบนี้ครับ

1. ผู้นำทีม (Leader) – พวงมาลัยนำทิศทางทีมไปในทางที่ถูกต้อง
2. คนขายเก่ง (Sale) – ล้อหมุนพารถไปข้างหน้า เกาะติดถนน
3. คนทำการตลาดปัง (Marketing) – แบรนด์ที่คนรู้จัก รักและชอบ
4. มีคนสร้างสินค้า-บริการที่ยอดเยี่ยม (Product & Technology) – ตัวรถยนต์ที่น่าดึงดูดให้คนอยากซื้อ

5. คนดูแลคน (People) – เครื่องยนต์ที่พารถขับเคลื่อนไปข้างหน้า
6. คนดูแลด้านการเงิน (Finance) – พลังงานที่เติมสู่เครื่องยนต์

หากในทีมขาดส่วนหนึ่งไป จะทำให้ทีมขาดสมดุลย์ การเติบโตไปข้าหน้า จะทำได้ช้าและลำบาก

ลองกลับมามองทีมตัวเอง ของคุณตอนนี้ว่า ทีมคุณขาดสมดุลย์ส่วนไหนไปบ้าง? และเราจะหาคนเหล่านี้มาเติมได้ยังไง?

เมื่อเราอยู่กันโลกคนละใบ วิธีคิด วิธีการทำงานเราจึงต่างกัน

บทสัมภาษณ์ผมในหนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 1 มกราคม 2565 ผมพูดถึงแนวความคิดและการสร้างรายได้ของเด็กรุ่นใหม่ ที่วิธีการแตกต่างจากสมัยก่อนมากๆ

ดังนั้นผู้ใหญ่ ที่ไม่เข้าใจไม่อาจจะนำประสบการณ์ของตัวเองไปสอนเด็กๆ ได้ ดังนั้นผู้ใหญ่ต้องเปิดรับ รับฟัง สังเกต เด็กรุ่นใหม่ และสนับสนุนเค้าให้ดีครับ