การปรับตัวของผู้ค้าออนไลน์ รับมือ การรายงานรายได้จากแพลทฟอร์มส่งตรงให้สรรพากร.!
จากประกาศของกรมสรรพากร เกี่ยวกับเรื่องการกำหนดให้ ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ เช่น ลาซาด้า ช้อปปี้ ติ๊กต๊อก ไลน์แมน ฟู๊ดแพนด้า โรบินฮู๊ด รวมไปถึง แพลตฟอร์ม บริการออนไลน์ต่างๆ ในประเทศไทย ที่มีรายได้เกิน 1,000 ล้านบาท/ปี จะ “ต้องรายงานรายได้ของผู้ที่ค้าขายที่อยู่ในแพลตฟอร์มทั้งหมด ส่งให้กับสรรพากรผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์”
ซึ่งแน่นอน การส่งข้อมูลยอดขาย ของผู้ค้าทั้งหมดของบรรดาแพลตฟอร์มต่างๆ ให้กับสรรพากรโดยตรง จะทำให้สรรพากรทราบถึง ยอดขายของ พ่อค้าแม่ค้ารวมถึงบริษัทที่ขายของในแพลตฟอร์มแต่ละราย ซึ่งจะนำมาสู่ “การจัดเก็บภาษีจากการขาย รวมไปถึงการประเมินภาษีจากรายได้ ของผู้ค้าในแพลตฟอร์มอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”
ผมจะลองมาประเมิน ถึงผลกระทบและรูปแบบของภาษีที่ผู้ค้าออนไลน์ในแพลตฟอร์ม จะต้องประสบพบเจอ
- ภาษีมูลค่าราคาเพิ่ม (VAT) – หากพ่อค้าแม่ค้ารวมไปถึงบริษัท ที่ขายของ ในแพลตฟอร์มออนไลน์ มียอดขายเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี คุณจะต้องมีหน้าที่ไปจดภาษีมูลค่าเพิ่ม นั่นหมายถึง เมื่อคุณขายสินค้า 100 บาท เมื่อมีการจดภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว คุณจะต้อง บวกภาษีมูลค่าเพิ่มเข้าไปอีก 7% ซึ่งจะทำให้ผู้ซื้อ ต้องจ่ายเงิน 107 บาท ตรงนี้เองจะทำให้ราคา ของสินค้าและบริการของคุณ เพิ่ม ขึ้นมา (แต่หาก คุณมียอดขายไม่ถึง 1.8 ล้านบาทต่อปี คุณก็ไม่ต้อง มีหน้าที่จัดเก็บ ภาษีในส่วนนี้กับลูกค้าของคุณ)
- ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล – เป็นการเสียภาษี เมื่อคุณ มีรายได้ โดย หากคุณเป็นบุคคลธรรมดา มีรายได้ไม่เกิน 150,000 บาท ต่อปี คุณจะได้รับการยกเว้น ภาษี ส่วนนี้ แต่เมื่อคุณมีรายได้เกิน 150,000 บาทขึ้นไป คุณจะเริ่มเสียภาษีเป็นขั้นบันได ตั้งแต่ 5% สูงสุดไปจนถึง 30% เลยทีเดียว
หรือหากคุณเป็นนิติบุคคลมีรายได้/ กำไร สุทธิ น้อยกว่า 300,000 บาทต่อปีคุณจะได้รับการยกเว้นภาษีส่วนนี้เช่นกัน แต่เมื่อคุณมีรายได้เกิน 300,000 บาทขึ้นไปคุณจะเริ่มเสียภาษี 15% สูงสุดไปจนถึง 20% เลยทีเดียว
สรุปคือ หากคุณขายของอยู่ในแพลทฟอร์มออนไลน์ และมีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี สิ่งที่คุณจะ ต้องเจอคือ 1. คุณต้องเสีย ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ทุกรายการที่ซื้อ (หน้าที่ผู้ซื้องต้องจ่ายเพิ่ม) และ 2. ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ที่คุณจะโดนสูงสุดถึง 30% เลยทีเดียว หากคุณมีรายได้ สูงถึง 5 ล้านบาทต่อปี
การปรับตัวของพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ที่เป็น “บุคคล”
คำแนะนำ ผมอยากจะให้แม่ค้าออนไลน์ที่ยังค้าขายอยู่ในรูปแบบของบุคคลธรรมดา
- หันไปเปิดเป็นบริษัท และทำการค้าในรูปแบบ “บริษัท” แทนการทำในรูปแบบบุคคล ในแพลตฟอร์มออนไลน์ เพราะคุณจะเสียภาษีในอัตราที่ต่ำกว่า (20%) และยังสามารถวางแผนภาษีได้มากกว่าการ ค้าขายแบบบุคคลธรรมดา (เช่น สามารถการนำค่าใช้จ่ายต่างๆ ไปหัก ได้ลดหย่อน ได้มากกว่า บุคคลธรรมดา)
- หันมาใช้ระบบ บัญชีออนไลน์ ซึ่งปัจจุบัน ตอนนี้มี หลายผู้ให้บริการ ซึ่งจะทำให้คุณสามารถเห็นข้อมูลการค้า ของคุณได้ทันที ถึงแม้คุณจะใช้บริการของสำนักงาน บัญชีภายนอกก็ตาม (แต่คุณต้อง รองข้อเข่าว่าคุณอยากใช้ระบบบัญชีออนไลน์) ส่วนตัวผมแนะนำระบบบัญชีออนไลน์ของ PeakAccount.com
- วางแผน รายได้-รายจ่ายให้เป็นระบบ รวมไปถึงการวางแผนภาษี เพื่อที่จะทำให้คุณ เสียภาษีอย่างถูกต้องน้อยที่สุด ซึ่งตรงนี้ ควรจะปรึกษากับสำนักงานบัญชีที่คุณใช้
แต่ถ้าเกิดไม่อยากเสียภาษี หรือเข้าระบบสรรพากรจริงๆต้องทำยังไง?
คุณอาจจะต้องย้ายไปขายในแพลตฟอร์มอื่น ที่ไม่อยู่ในการควบคุมของกรมสรรพากรประเทศไทย เช่นแพลตฟอร์ม ที่ไม่ได้ มีตัวตนหรือ จดทะเบียนอยู่ในประเทศไทย แต่ปัญหาที่ตามมาของคุณก็คือ กลุ่มลูกค้าในแพลตฟอร์มเหล่านั้น ไม่ใช่คนไทย หรือมีจำนวนน้อย จะทำให้คุณ ไม่สามารถสร้างยอดขาย ได้เท่าเดิม
แนวคิดของการทำธุรกิจจะเปลี่ยนไปหลังจากนี้
ผมเชื่อว่า หลังจากนี้ แนวความคิดของคนทำธุรกิจในไทยจะเริ่มเปลี่ยนไปจากเดิมว่า “ทำธุรกิจไม่จำเป็นต้องเสียภาษี” เพราะเมื่อก่อนรูปแบบการค้าขาย มีหลายรูปแบบมีหลายช่องทาง กระจัดกระจายออกไป ทำให้เป็นการยากต่อการตรวจสอบและจัดเก็บของกรมสรรพากร
แต่สำหรับยุคนี้ ยุคที่การค้าขายส่วนใหญ่อยู่ในช่องทางออนไลน์ และอยู่บนแพลตฟอร์ม ซึ่งมีอยู่เพียงไม่กี่แห่ง ดังนั้น จึง ”เป็นการท้าทายมากที่คุณจะหลบเลี่ยง จากการตรวจสอบของกรมสรรพากร” นอกเสียจาก คุณจะไม่ขายอยู่ในแพลตฟอร์มลง ซึ่งอย่างที่บอกไปตอนต้น ว่าในแพลตฟอร์มเหล่านี้ ก็มีลูกค้าอยู่ เป็นจำนวนมาก “ดังนั้นการไม่ค้าขายในแพลตฟอร์มอาจจะทำให้คุณเสียโอกาส และยอดขายลดลงได้เป็นจำนวนมาก”
วันนี้คุณต้องปรับมุมมอง ในการทำธุรกิจของคุณใหม่ โดยเฉพาะหากคุณยังคงต้องการขายของในแพลตฟอร์มออนไลน์ภายในประเทศไทยต่อไปว่า “คุณจะต้องวางแผนและทำธุรกิจให้ถูกต้อง และมีการวางแผนภาษีเพื่อให้เสียภาษีอย่างถูกต้อง ให้เหมาะสมที่สุด”
ฝากไปยังภาครัฐบาทด้วย
เมื่อภาครัฐมีนโยบาย ในการจัดเก็บภาษี ผ่านช่องทางแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ ผู้ค้า หลายๆคนในประเทศไทย ค้าขายกันอยู่ สิ่งที่ภาครัฐจะต้องทำ ก็คือ
- การจัดเก็บภาษีให้เท่าเทียม เพราะปัจจุบันในแพลตฟอร์มออนไลน์ของประเทศไทย มี ผู้ค้าจากต่างประเทศ เข้ามาค้าขายเป็นจำนวนมาก โดยผู้ค้าเหล่านั้นไม่มีตัวตน หรือบริษัทอยู่ในประเทศไทย ดังนั้น การจัดเก็บภาษี ก็ควรจะมีรูปแบบที่ชัดเจนและเท่าเทียม กับผู้ค้าของคนไทย
- เมื่อภาคเอกชน มีการเสียภาษีอย่างถูกต้อง แต่ก็ภาครัฐเองก็ต้อง นำภาษีเหล่านั้น ไปใช้อย่างถูกต้องและเหมาะสมด้วยเช่นกัน ไม่ใช่ นำเงินภาษีที่ภาคเอกชนจ่ายมา ไปใช้แบบไม่ได้วางแผนอย่างรัดกุม ปล่อยปะละเลย อย่างที่เราเห็นในการอภิปราย งบประมาณแผ่นดิน ที่ผ่านมา
Leave a comment